“พื้นที่” ราคาที่ต้องจ่าย

ข้อดีของการเรียนและการทำงานในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ ม.ช. ก็คือการมีสิทธิ์ใช้บริการ Microsoft 365 ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Office หรือ One Drive การใช้สิทธิ์ Microsoft 365 ผ่านสถาบันการศึกษาถือว่า “หรูหรา” พอสมควร เพราะเราได้ใช้บริการในราคาที่ประหยัดกว่าเอกชน หลายๆอย่างก็เรียกว่า Microsoft ลด แลก แจก แถม ให้กับมหาวิทยาลัยแบบใจดี แนว “ป๋า” กันเลยทีเดียว นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะได้พื้นที่ใน One Drive ขนาด 5 TeraByte (TB) เป็นพื้นที่มหึมาที่อยู่บน Cloud ใหญ่กว่า Harddisk ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ SDD ที่อยู่ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตหลายเท่า แทบจะเรียกได้ว่าเชิญให้ทุกท่านขนเอาไฟล์ไปเก็บได้มากเท่าที่ต้องการ

แต่ทุกอย่างย่อมมีราคาของมัน ของฟรีอาจจะมีอยู่จริง แต่มันมีไม่นาน เหมือนเป็นการ “ขุดบ่อล่อปลา” หลอกให้อยากแล้วจากไป หรือ ถ้าอยากใช้ต่อก็ต้องเข้าสู่โหมด “Show Me the Money” สิงหาคม 2567 เป็นวันดีเดย์ที่ Microsoft บอกว่าถ้าอยากใช้พื้นที่ก็ต้อบเริ่มจ่ายเงิน โดยคำนวณจากพื้นที่ที่ใช้เกินโควต้าที่มหาวิทยาลัยมีอยู่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีโควต้ารวมทั้งมหาวิทยาลัย 150 TB แต่สิ่งที่ทุกคนช่วยกันสะสมไว้มีปริมาณถึง 2,000 TB 13 เท่าของพื้นที่ที่เราใช้ได้ ถ้าอยากจะเก็บข้อมูขนาด 2,000 TB หรือ 2 Peta Byte (PB) นี้ไว้ มหาวิทยาลัยต้องจ่ายเงินราวๆ 140 ล้านบาท/ปี

แม่นยิ่งกว่าธิดาพยากรณ์ ทุกคนเดาได้ว่ามหาวิทยาลัยย่อมไม่ยอมจ่าย 140 ล้านบาท/ปี แน่ๆ ทำให้นโยบายในการให้บริการพื้นที่ One Drive ต้องเปลี่ยนไปจากโหมด “First Class” เข้าสู่โหมด “Economy” โดยทันที่ พื้นที่คนละ 5TB หดหายลงเหลือคนละ 15 GB หรือ ลดลงกว่า 300 เท่าตัว แปลกแต่จริงๆเมื่อดูจากสถิติการเก็บข้อมูลแล้ว ประชากรชาว ม.ช. เพียงไม่เกิน 15% เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบเพราะพื้นที่ไม่พอเก็บของ อีก 85% นั้นเรียกว่าชิลเพราะของที่เก็บไว้ใน One Drive มีไม่ถึง 5 GB ด้วยซ้ำ คนเจ็บช้ำจึงมีจำนวนจำกัด แต่ต่อให้หั่นกันขนาดนี้ ม.ช. ก็ยังต้องจ่ายเงินเพิ่มหลักหลายแสนต่อปีอยู่ดีเพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอที่จะดำเนินกิจกรรมของมหาวิทยาลัยได้ (เพราะ ม.ช. ต้องมีพื้นที่สำหรับ Microsoft Teams และ เก็บ Email ที่จำเป็น)

เหตุผลที่ Microsoft บอกแก่ชาวประชาว่าที่ข้าต้องเก็บเงินเพิ่มเพราะว่าข้าก็รักษ์โลกนะ การต้องสร้าง Cloud Computing จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพื่อเอาไว้เก็บ “Dark Files” (คือ ไฟล์ที่เจ้าของไม่ได้สนใจใยดีจะไปเปิดมาใช้เ่ป็นชั่วนาตาปี แต่ก็ไม่ยอมลบทิ้งเพราะเสียดาย ทำนองว่ามีพื่้นที่ให้เก็บก็เก็บไปซิ ไม่เสียเงิน) เป็นการผลาญทรัพยากรของโลก ไม่ว่าจะเป็นกระแสฟ้า และระบบต่างๆที่ต้องเอามาสร้างและบริหาร Cloud Computing ไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเรียกเก็บเงินจึงเป็นการกระตุกผู้ใช้งานให้เข้าสู่โหมด “5 ส” คือไปสะสางและกำจัดของที่ไม่ใช้ออกไปเสีย ฟังดูเข้าทีแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะ “ซื้อ” เหตุผลนี้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดนปฏิบัติการทำนองนี้ เราเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วตอนที่ Google ทำแบบเดียวกันนี้ในปี 2566

ประสบการณ์สอนเราว่า “ไม่มีอะไรฟรี ทุกอย่างมีต้นทุนของมัน” และ “ถ้ามันจำเป็น เราจะจ่าย”

ผมเชื่อว่าครั้งนี้ก็ต้องมีคนยอมจ่าย แต่แค่ยังไม่รู้ว่าแต่ละคนต้องจ่ายเท่าไหร่เท่านั้นเอง