ลิงตัวถัดไป

–การทดลอง ‘ลิงห้าตัว กล้วย บันได และ น้ำเย็น’ และปรากฏการณ์ทางสังคม–

ในปี 1967 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันนามว่า “สตีเฟนซัน” ได้ทำการทดลองที่ชื่อเป็นที่รู้จักกันว่า ”The Monkey Banana and Water Spray Experiment”

ในการทดลองนั้น เขาได้นำลิงห้าตัวมาไว้ขังไว้รวมกันภายในห้อง ในห้องนั้นจะมีกล้วยแขวนไว้บนเพดาน และ มีบันไดที่สามารถปีนไปหยิบกล้วยจากเพดานนั้นมาได้

คงเดาไม่ยากว่าเมื่อลิงได้เห็นกล้วย ก็จะมีลิงอย่างน้อยหนึ่งตัวปีนบันไดขึ้นไปเพื่อจะหยิบกล้วยมากิน แต่ว่า เมื่อมีลิงตัวใดตัวหนึ่งปีนบันไดขึ้น ลิงตัวนั้น รวม ถึงลิงที่ดูอยู่อีก 4 ตัวจะถูกฉีดด้วยน้ำเย็นจัดให้ได้รับความทรมาน และทุกๆครั้งเมื่อมีลิงตัวใดก็ตามพยายามจะปีนบันไดขึ้นไปหยิบกล้วย ลิงทุกตัวในห้องจะต้องถูกฉีดด้วยน้ำเย็นจัดเสมอ จากเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นซ้ำๆ ลิงทุกตัวจึงเรียนรู้ว่า “การปีนบันไดน่ากลัวเท่ากับการถูกน้ำเย็นฉีด” และไม่มีลิงตัวใดที่ปีนบันไดอีกต่อไป

ต่อมา สตีเฟนซัน ได้นำลิงตัวเดิมออก 1 ตัว และแทนที่มันด้วยลิงตัวใหม่ ซึ่งไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับน้ำเย็น แน่นอน! เมื่อลิงตัวใหม่มองเห็นกล้วย มันก็วิ่งไปหาบันไดเพื่อปีนไปหยิบกล้วย แต่ทว่าก่อนที่ลิงตัวใหม่จะทันไปถึงบันไดก็โดนลิงตัวเดิม 4 ตัวที่เหลือรุมอัดเสียก่อนจนไม่กล้าปีนบันได โดยที่่ไม่รุ้เหตุว่าทำไมตนถึงโดนอัด เหตุการณ์เดำเนินไปแบบนี้ 3 ครั้ง และทุกครั้งก็สร้างความฉงนให้กับลิงตัวใหม่ อย่างไรก็ตาม มันก็เลิกคิดที่จะปีนบันได

ต่อมา สตีเฟนซัน ได้นำลิงชุดแรกออกอีก 1 ตัว และ นำลิงตัวใหม่ใส่เข้าไป เป็นที่คาดเดาได้ว่าลิงตัวใหม่ก็พยายามจะปีนบันไดเพื่อไปกินกล้วย แต่ถูกรุมทำร้ายจากลิงที่เหลืออีก 4 ตัว ลิงตัวใหม่แสดงท่าทีสงสัยว่า ทำไมต้องทำร้ายฉันในเมื่อฉันจะปีนไปกินกล้วยมากินเท่านั้นเอง การทดลองดำเนินไปแบบนี้โดยการเปลี่ยนลิงชุดแรกที่เคยโดนน้ำฉีดออกทีละตัว และ นำลิงตัวใหม่ใส่แทนเข้าไป ท้ายที่สุด ลิงทุกตัวในห้องนั้นก็เป็นลิงที่ไม่มีประสบการณ์ว่าจะโดนน้ำเย็นฉีดเมื่อจะปีนบันไดไปหยิบกล้วย อยากไรก็ตาม เมื่อมีลิงตัวใหม่เข้ามาและพยายามจะทำเช่นนั้น มันก็จะถูกทำร้ายโดยลิงที่เหลืออีก 4ตัว (ทั้งๆที่มันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงปีนไม่ได้ แต่จากประสบการณ์ของมันเอง ใครก็ตามที่จะปีนไปหยิบกล้วยต้องโดนแบบนี้) และการรุมทำร้ายผู้ที่พยายามจะปีนบันไดก็กลายเป็น กฏ (rules) หรือ บรรทัดฐาน (norms) ทางสังคมของลิงกลุ่มนั้น โดยที่ไม่มีลิงตัวใดเข้าใจเลยว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร…..

นี่ก็คือตัวอย่างของวิวัฒนการทางสังคมที่เป็นการปลูกฝังความเชื่อ วิธีการปฏิบัติ โดยไม่ต้องรู้ต้นสายปลายเหตุ เป็นการส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นและมีการหล่อหลอม (insititutionalised) ให้ปฏิบัติแบบเดียวกันตามบรรทัดฐานที่เคยตั้งไว้โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง โดยไม่มีการหาเหตุผลหรือการใช้ปัญญามาตอบคำถามว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น…..

…หรือเราจะเป็นแค่ลิงอีกตัวที่อยู่ในกรงนี้…